9 เหตุผลที่คุณต้องไม่พลาดไปชมนิทรรศการ “Life by Film by Nobuyoshi Araki"

9 เหตุผลที่คุณต้องไม่พลาดไปชมนิทรรศการ “Life by Film by Nobuyoshi Araki

เมื่อเอ่ยนาม โนบุโยชิ อารากิ เชื่อว่าในวงการคนรักการถ่ายภาพต้องร้องอ๋อ..เพราะเขาเป็นช่างภาพชื่อดังชาวญี่ปุ่น ผู้สร้างผลงานให้ทั้งโลกได้ตะลึงและตั้งคำถามกับความอีโรติกที่เปิดเผย และเรียกว่าเป็นความโชคดีมากๆ ที่ Leica Gallery Bangkok (ไลก้า แกลเลอรี่ แบงค็อก) โดย Leica Camera Thailand (ไลก้า คาเมร่า ไทยแลนด์) แบรนด์กล้องลักซ์ชัวรี่ระดับโลก จัด นิทรรศการ Life by Film by Nobuyoshi Araki (ไลฟ์ บาย ฟิล์ม บาย โนบุโยชิ อารากิ) เป็นนิทรรศการที่แสดงผลงานการถ่ายภาพของ โนบุโยชิ อารากิ ช่างภาพชื่อดังผู้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นปรมาจารย์สามารถเข้าชมได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ ถึง 27 พฤศจิกายน 2562 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ที่ Leica Gallery Bangkok ชั้น 2 เกษร วิลเลจ สำหรับใครที่รักการถ่ายภาพ หรือ อยากเปิดมุมมอง ความคิด และหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ แนะนำว่าคุณไม่ควรพลาด นิทรรศการ Life by Film by Nobuyoshi Araki


ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า โนบุโยชิ อารากิ คือใคร? เพราะอะไรคุณถึงไม่ควรพลาดที่จะมาชมนิทรรศการ ขอสรุปเป็น 9 เหตุผลดังนี้

1. เข้าสู่ปืที่ 2 Leica Gallery Bangkok ชมผลงานใหม่เปิดมุมมองไปกับ โนบุโยชิ อารากิ และ ฮิซาโกะ โมะโตะโอะ คิวเรเตอร์ผู้เปรียบเสมือนมือขวาของ โนบุโยชิ อารากิ

ก้าวเข้าสู่ปีที่ 2 Leica Gallery Bangkok แกลอรี่ที่รวบรวมผลงานของช่างภาพไทยและช่างภาพระดับโลกมาไว้ในที่เดียว ให้คนที่รักและชื่นชอบในผลงานการถ่ายภาพได้มาเปิดมุมมอง หาแรงบันดาลใจใหม่ๆ และในโอกาสที่กำลังจะเข้าสู่ปีที่ 2 ครั้งนี้ Leica Gallery Bangkok ได้รับเกียรติจาก โนบุโยชิ อารากิ ช่างภาพชื่อดัง มาร่วมสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาด้วยอายุที่มากขึ้น อีกทั้งยังต้องต่อสู้กับปัญหาเรื่องสุขภาพ เราจึงไม่ค่อยได้มีโอกาสเห็นผลงานชิ้นใหม่ๆ ของอารากิเท่าไหร่นัก แต่อารากิก็ไม่เคยหยุดที่จะทุ่มเทให้กับความหลงใหลการถ่ายภาพ และ ครั้งนี้เราจะได้เห็นผลงานใหม่ล่าสุดของเขา “Life by Film by Nobuyoshi Araki” จำนวน 30 ภาพ ที่ตั้งใจครีเอทผลงานออกมาด้วยความสุข นำเสนอมุมมองของการมี “ชีวิต” ที่ถ่ายทอดผ่านกล้องฟิล์ม Leica M7 เป็นภาพขาว-ดำ ทั้งหมด เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานที่น่าจับตาดูกันเลยทีเดียว

2. ศิลปิน ช่างภาพ อีโรติก เป็นชื่อที่ถูกเรียกกันอย่างแพร่หลาย กับผู้ชายที่ชื่อว่า “Nobuyoshi Araki”

ช่างภาพชาวญี่ปุ่น ผลงานของเขาได้รับอิทธิพลจากความปั่นป่วนของสังคมเมืองที่เกิดขึ้นในกรุงโตเกียวหลังการรับมือกับยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ผลงานของอารากินอกจากจะเป็นตัวกระตุ้นมุมมองใหม่ในการประเมินค่าประวัติศาสตร์ภาพถ่ายญี่ปุ่นจากทั้งสายตาคนในและนอกประเทศแล้ว ยังเป็นงานที่มีอิทธิพลต่อช่างภาพรุ่นหลังเป็นอย่างมาก ภาพถ่ายของเขาเป็นผลงานที่มีอิสระทางความคิดไม่มีกรอบ หรือ กฎเกณฑ์มากำหนด  คิดอย่างไรก็แสดงผลงานออกมาอย่างนั้น เรียกว่าอารากิสามารถคว้าเอาความสนใจของผู้คนทั่วโลกไว้อยู่หมัด ด้วยภาพถ่ายที่สามารถเก็บรายละเอียดความเฉพาะเจาะจงของพลังในการดึงดูดและโน้มน้าวจิตใจผู้ชม อันส่งผลให้ภาพถ่ายของเขามีชีวิตขึ้นมา เขานำช่วงขณะเวลานั้นมาใส่กรอบและผนึกมันไว้ดั่งคำพูดที่ว่า “หากชีวิตไม่น่าสนใจ ภาพถ่ายก็ไม่น่าสนใจ”

3. ภาพถ่ายกับประเด็นต้องห้าม จุดประกายผลงานให้เป็นที่นิยม

 ภาพของอารากิวิพากษ์เรื่องบูรพาคดีศึกษา (Orientalism) พูดถึง “อารยธรรมตะวันออก” ถึงการตกอยู่กับดักของกรอบความคิดตะวันตก เกิดเป็นโครงร่างของความคิดตะวันออกขึ้นมาใหม่ (restructuring) ทั้งนี้เป็นการสร้างอำนาจอันชอบธรรมให้แก่ตะวันตกในการครอบงำตะวันออก ผลงานของเขาเป็นการแสดงออกแบบประจันหน้า หรือแม้แต่เรื่องธุรกิจทางเพศในโตเกียว หรือ “คิมบะคุ” (ศิลปะการมัดเชือกตามเรือนร่างของญี่ปุ่น) ก็เป็นส่วนหนึ่งของคำวิจารณ์ที่ทำให้ผลงานของเขาโด่งดัง และเป็นที่นิยม

4. ความพิเศษเฉพาะตัวของอารากิที่ทำให้คนสนใจมากกว่าคำวิจารณ์ด้านลบ

ความเฉพาะเจาะจงของพลังในการดึงดูดและโน้มน้าวจิตใจผู้ชม ส่งผลทำให้ภาพถ่ายของเขามีชีวิต เขาเลือกการใช้กล้องฟิล์มในการถ่ายทอดผลงานของเขาทั้งหมด แทนการใช้กล้องดิจิตอลด้วยเหตุผลว่า “กล้องดิจิทัลมันเร็วเกินไป และดีเกินไปสำหรับเขา หากอยากจะถ่ายภาพในที่มืด เพียงแค่กดชัตเตอร์ภาพก็จะออกมาสว่างแล้ว แต่ชีวิตของคนไม่ใช่เช่นนั้น” ผลงานของเขาเป็นงานที่เน้นแสง และเงา เสมือนกับการมีชีวิตที่จะมีเงาอยู่ด้วยเสมอ เขามีความสุขกับการรอคอยในช่วงเวลาล้างรูป และครั้งนี้ก็เช่นกัน กับการถ่ายทอดผลงานใหม่ล่าสุดด้วยกล้อง Leica M7 นอกจากนี้บุคลิกการถ่ายภาพของเขาที่มีเสน่ห์ อบอุ่น ซื่อตรง รักษาเวลาอย่างจริงจัง เป็นจุดเด่นที่ทำให้คนทั่วโลกสนใจและอยากจะร่วมงานกับเขา และยังมีอิทธิพลต่อช่างภาพรุ่นหลังเป็นอย่างมาก ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ถูกเรียกว่าเป็น Araki Children (อารากิ ชิลเดร้น) ที่ได้พัฒนาตัวเองจนมาเป็นช่างภาพแถวหน้าในที่สุด

5.“หากชีวิตไม่น่าสนใจ ภาพถ่ายก็ไม่น่าสนใจ” สะท้อนปรัชญาชีวิต    

การใช้ชีวิตถ่ายภาพของอารากิ ทำให้เราได้เห็นปรัชญาชีวิต ผ่านวิธีการคิด มุมมองที่ล้ำกว่าทั่วไป ผลงานของเขาที่นำเสนอไม่ใช่แค่ประเด็นเรื่องเพศ ความรุนแรง หรืออาชญากรรม แต่เป็นแก่นพื้นฐานทั่วไปของมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่า อารากิคือผู้ให้กำเนิดหลายสิ่งอย่างที่ไม่มีใครเคยทำหรือนำเสนอมาก่อน บวกกับการแต่งตัวที่แปลกประหลาด คำพูด การกระทำ รวมทั้งวิสัย ยิ่งทำให้ผู้ชมได้ตื่นเต้นไปกับความน่าค้นหาที่อารากิสร้างขึ้น

6.ความธรรมดาเติมเต็มสิ่งที่ขาดให้กับความไม่ธรรมดา

“ถ้าชีวิตเราไม่สนุก งานก็จะไม่สนุก” การกดชัตเตอร์ของอารากิ ไม่เคยปล่อยให้การใช้ชีวิตธรรมดาเป็นช่วงเวลาที่ธรรมดา ศิลปินสามารถถ่ายทอดเรื่องราวการหลบซ่อนตามตรอกซอกซอยที่คุ้นชิน การถอนใจอย่างสดชื่นกับหยดน้ำหลังฝนตก มีความไม่ธรรมดาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือแม้แต่อารมณ์ที่เปลี่ยนไปของผู้คนระหว่างรอไฟเขียวที่สี่แยก ที่หลายคนอาจมองข้ามแต่ไม่ใช่กับช่างภาพที่ใส่ใจรายละเอียดท่านนี้

7.มองเห็นโลก “อย่างแท้จริง” ผ่านการใช้ชีวิตอยู่บนความเป็นจริง

เวลาที่ถ่ายภาพ สายตาของอารากิจะอยู่ในระดับเดียวกับวัตถุที่เขาถ่ายเสมอ หากถ่ายภาพแมวเขาก็จะย่อตัวคลุกลงไปกับพื้น หรือเวลาที่เขาจะต้องถ่ายภาพเด็กหรือผู้สูงอายุ เขาก็จะลดกล้องมาอยู่ที่ระดับใบหน้าของคนเหล่านั้น ในช่วงที่เขาป่วยต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เขาเห็นมุมมองชีวิตและความตายที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ชีวิตเป็นสิ่งที่สวยงาม และความตายไม่ใช่เรื่องไกลตัว มุมมองในการสร้างสรรค์ผลงานของเขาเปลี่ยนไป จากเมื่อก่อนที่ผลงานจะมีความน่ากลัว แต่หลังจากที่เขาไม่สบาย ผลงานช่วงหลังของเขาถึงแม้จะเป็นมุมมองที่เกี่ยวกับชีวิตเหมือนกัน แต่ผลงานของเขากับเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายล้อชีวิต ตอนที่กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อารากิกล่าวว่า “การถ่ายภาพคือการมีชีวิต เช่นเดียวกับการหายใจและการเต้นของชีพจร”

8.การถ่ายภาพไม่ใช่ศิลปะ แต่เป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อให้เราชม

หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมเราถึงไม่เรียกผลงานของอารากิว่าเป็นงาน “ศิลปะ” แต่เรียกว่าเป็นผลงาน “การถ่ายภาพ” ซึ่งอารากิให้เหตุผลว่า การถ่ายภาพ คือ “การหยิบยื่นให้”  ดังนั้นทุกครั้งที่เราเห็นผลงานของเขา เราจะรู้สึกเหมือนกับว่าภาพถ่ายเหล่านี้มีชีวิตขึ้นมา เพราะอารากิให้ความสำคัญในสิ่งที่เขาต้องการจะถ่ายทอด ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ถ่ายนางแบบ คนที่จะถ่ายทอดอารมณ์เพื่อสื่อให้คนดูเห็นคือนางแบบ ส่วนหน้าที่ของช่างภาพที่ดีนั้นจะต้องถ่ายภาพ นำเสนออารมณ์ของอีกฝ่ายให้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 

9.“ยิ่งแก่ รูปยิ่งออกมาดี” สัจธรรมและความทุ่มเทในผลงาน

อารากิกล่าวว่า “เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าเข้าใกล้ความตายมากเท่าไหร่ เราเรียนรู้ที่จะพอเพียงและละเอียดอ่อนกับความสวยงามในชีวิต” เขามองโลกบนพื้นฐานความเป็นจริงที่ควรจะเป็น ผลงานของเขาที่จัดแสดง ไม่ต่างกับกระจกใบใหญ่สะท้อนให้เราเห็นถึงสัจธรรมชีวิตของมนุษย์ ทั้ง 2 สิ่ง คือ การมีชีวิต อารากิถ่ายทอดผลงานการถ่ายภาพ นำเสนอมุมมองของความสุข ความทะเยอทะยาน ความปรารถนาซึ่งอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน และ ความตาย ที่นำเสนอผ่านความเจ็บปวดจากการสูญเสีย และบาดแผลในจิตใจ    

REALATED NEWS

Comments

Share Tweet Line