วิศวะมหิดล รวมพลัง 3 องค์กร เดินหน้า เฟส 3 พัฒนาระบบโลจิสติกส์และ Big Data สาธารณสุขไทย

วิศวะมหิดล รวมพลัง 3 องค์กร เดินหน้า เฟส 3 พัฒนาระบบโลจิสติกส์และ Big Data สาธารณสุขไทย

สามองค์กรผู้นำระบบเฮลท์แคร์และเฮลท์เทคของไทย ได้แก่  กระทรวงสาธารณสุข,  คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  โดย ศูนย์การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสุขภาพ (LogHealth) และ สมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ลงนาม MOU ข้อตกลงความร่วมมือเดินหน้าเฟส 3 “โครงการศึกษาวิจัยเพื่อออกแบบและพัฒนาระบบโลจิสติกส์โครงสร้างพื้นฐานและระบบบูรณาการข้อมูลสารสนเทศและ Big Data ด้านสาธารณสุข”  ในงานสัมมนาวิชาการ Thailand Healthcare & HealthTech Transformation 2020  ภายใต้ธีม Healthcare Logistics & Big Data by Mahidol Engineering ณ ศูนย์การเรียนรู้  มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ซึ่งมีการจัดเสวนา  2 หัวข้อ เรื่อง วิศวกรรมโลจิสติกส์ กับการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยด้านบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์ และเสวนา เรื่อง อนาคต Healthcare Startup กับระบบสาธารณสุขไทย


ในพิธีการลงนาม MOU ข้อตกลงความร่วมมือ โดย นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ รักษาการอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล  พร้อมด้วย ดร.พณชิต กิติปัญญางาม นายกสมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ รองรับภูมิทัศน์ใหม่ด้านการแพทย์-สุขภาพและโลกที่เปลี่ยนแปลง

ก้าวสู่ยุคดิจิทัล เฮลท์แคร์

ศาสตราจารย์ นพ.บรรจง มไหสวริยะ รักษาการอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ความร่วมมือของ 3 องค์กร และภาคีพันธมิตรในโครงการนี้จะเป็นแรงพลังพัฒนาและขับเคลื่อนการบริหารจัดการดิจิทัลเฮลท์แคร์และเฮลท์เทคของไทย ด้วยนวัตกรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรซึ่งจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำพาประชาชนคนไทยไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี และเสริมสร้างความมั่นคงทางสุขภาพและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ เช่น การเกิดโรคอุบัติใหม่และภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต

รศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ของเอเซีย และอันดับ 6 ของโลกในด้านความมั่นคงทางสุขภาพ (Health Security) จากการสำรวจ 195 ประเทศ ท่ามกลางภูมิทัศน์ใหม่ของคุณภาพชีวิตยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเกิดโรคอุบัติใหม่เชื้อไวรัสโคโรน่า2019 ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตและธุรกิจอุตสาหกรรม ภารกิจโรงพยาบาลและการสาธารณสุขในประเทศไทยไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาความก้าวหน้า ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานนำไปสู่การบริหารจัดการและบริการที่มีคุณภาพแก่ประชาชน ดังนั้น “โครงการศึกษาวิจัยเพื่อออกแบบและพัฒนาระบบโลจิสติกส์โครงสร้างพื้นฐานและระบบบูรณาการข้อมูลสารสนเทศและ Big Data ด้านสาธารณสุขสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลประเทศไทย” จะมีบทบาทสำคัญต่อประเทศ โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 3 เฟส (เฟสละ 1 ปี)

เฟสที่ 1  ระบบโลจิสติกส์และแสดงผลวิเคราะห์ด้านยา-เวชภัณฑ์

ทั้งนี้ศูนย์การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสุขภาพ (LogHealth)คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เริ่มดำเนินการโครงการฯ เฟสที่ 1 ตั้งแต่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559 ที่มาของการวิจัยเกิดจากคำถามวิจัยที่ว่ายาในประเทศไทยกระจายไปอยู่ที่ไหน (Track) ตรวจสอบย้อนกลับได้หรือไม่ (Traceability) รวบรวมข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายอย่างไร (Big Data) จำเป็นต้องมีการดำเนินการพัฒนาระบบที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานสุขภาพทั้งระบบ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลและแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศด้านยาและเวชภัณฑ์ได้ และเกิดเป็นโครงสร้างทั้งระบบ

เฟสที่ 2 พัฒนาแผนแม่บทสารสนเทศสาธารณสุข

รศ.ดร.ดวงพรรณ ศฤงคารินทร์ หัวหน้าศูนย์การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานสุขภาพ (LogHealth) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันโครงการได้ดำเนินการระยะที่ 2 แล้วเสร็จ มีดังนี้

1. งานวิจัยโครงการการพัฒนาแผนแม่บทระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารภาคสาธารณสุขของประเทศ ได้ข้อเสนอแนะและลำดับความสำคัญของการขับเคลื่อน eHealth ในองค์ประกอบทั้ง 3 ด้าน คือ การกำกับดูแล (Governance) การวางฐานราก (Foundations) การแก้ปัญหา (eHealth Solutions) และกิจกรรมขับเคลื่อน เป็นแนวทางการดำเนินนโยบายสาธารณะด้านระบบสุขภาพ

2. งานวิจัยพัฒนาระบบฐานข้อมูลยาและจัดทำโปรแกรม บริหารและจัดทำข้อมูลยาสำหรับประชาชน (Patient Information Leaflet Management System : PILMS) แบ่งเป็นดำเนินการพัฒนา 3 ส่วนด้วยกัน คือ  2.1. การพัฒนาระบบฐานข้อมูลยาและเวชภัณฑ์ (National Medicinal Product Catalogue Database : NMPCD) ได้ดำเนินการพัฒนาฐานข้อมูลให้สามารถสะสมทุกรหัสยาได้มากกว่า 150,000 รายการ และในระยะที่ 2 สามารถผูกสัมพันธ์ยาเพื่อการค้นหารหัสยาได้ทั้งสิ้น 11 คู่ เป็นจำนวนมากกว่า 50,000 รายการ  2.2. การพัฒนาฐานโปรแกรมบริหารและจัดทำข้อมูลยาสำหรับประชาชน ได้ดำเนินการเพิ่มเติมข้อมูลยาสำหรับประชาชนจากเดิมได้ทำการสะสมรหัสไว้ 200 รายการ ในระยะที่ 2 ได้ดำเนินการเพิ่มเติม  53 รายการ รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 253 รายการ และ 2.3. โปรแกรมบริหารจัดการร้านยาได้พัฒนาเป็นโปรแกรมที่มีระบบการจัดการคลังสินค้าทั้งส่วนหน้าร้านและหลังร้าน โดยรองรับการจัดซื้อ การจัดการซัพพลายเออร์ การจัดการสินค้า การจัดตารางเวร และการจัดการผู้ใช้

3. การพัฒนาโปรแกรมบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์ให้กับโรงพยาบาล   หรือที่เรียกว่า the Material Management Information System (MMIS) ซึ่งจะช่วยทำให้การจัดการด้านโลจิสติกส์ยาและเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้ดำเนินการขยายผลผู้ใช้ โดยมีโรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 18 แห่ง จัดทำคู่มือการใช้งาน MMIS และดำเนินการจัดทำมาตรฐานซอฟแวร์การบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์

4. ดำเนินการพัฒนาระบบต้นแบบสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) ระหว่างโรงพยาบาลและผู้จัดจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งจะช่วยในการติดต่อซื้อขายระหว่างโรงพยาบาลกับผู้จัดจำหน่ายได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

5. ระบบต้นแบบการติดตามและสอบกลับยาและเวชภัณฑ์ (Traceability) ที่ติดตามและสอบกลับได้ในระดับล็อตการผลิตจนถึงผู้ป่วยทั้งในระดับประเทศและจังหวัด

เดินหน้าเฟสที่ 3 เชื่อมต่อ BI และ Big Data สาธารณสุขของประเทศ

สำหรับการดำเนินงานในระยะที่ 3 กำลังดำเนินการวิจัยและพัฒนาระบบตามแผนงาน โดยมุ่งเป้าหมายยกระดับการสาธารณสุขของประเทศอย่างบูรณาการทั้งระบบ ตอบรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจยุคดิจิทัล ดังนี้  1) การพัฒนาระบบสารสนเทศเชิงลึกด้านยาและเวชภัณฑ์ของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเพื่อสนับสนุนการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ทางยาและเวชภัณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข (Business Intelligence: BI) 2) การพัฒนาระบบฐานข้อมูลยาและเวชภัณฑ์เพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานมากยิ่งขึ้น  3) พัฒนาระบบเชื่อมต่อโปรแกรมการบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์ (Material Management Information System: MMIS) กับระบบ BI  4) ศึกษาวิจัยและออกแบบเพื่อพัฒนาระบบการจัดการคลังยาของโรงพยาบาลโดยผู้จัดจำหน่ายผ่านระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์ด้านสาธารณสุข

ยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพและสาธารณสุขไทย

นายแพทย์ ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โครงการนี้ หากดำเนินการสำเร็จจะส่งผลดีต่อระดับประเทศ ประชาชนและหลายภาคส่วนได้รับประโยชน์จากการนำระบบไปใช้ 6 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 

1.ด้านโรงพยาบาล ช่วยลดความแออัดในบริการ เพิ่มประสิทธิภาพของคลังยาและเวชภัณฑ์  ลดขั้นตอนในการทำงาน ลดข้อผิดพลาดในการทำงาน เนื่องจากมีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ สามารถดึงข้อมูลการจัดการยาและเวชภัณฑ์ มาใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ได้หลากหลาย เช่น การกระจายตัวของยาและเวชภัณฑ์ การวางแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการของโรงพยาบาล เป็นต้น 

2.ผู้ปฏิบัติงานจริงในโรงพยาบาล ช่วยบริหารงานคงคลังและระบบจัดซื้อในโรงพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการทำงานซ้ำซ้อน 

3. กระทรวงสาธารณสุข ได้รับข้อมูลที่แต่ละโรงพยาบาลทั่วประเทศต้องนำส่งรายงานสู่ส่วนกลางอย่างถูกต้อง และน่าเชื่อถือ ทั้งยังสามารถใช้ข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงได้อีกด้วย

4.หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมบัญชีกลาง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ระบบฐานข้อมูลยาและเวชภัณฑ์ในการใช้งาน  ซึ่งช่วยลดระยะเวลาและขั้นตอนในการแปลงรหัสยาจากรหัสใดรหัสหนึ่ง เป็นรหัสหนึ่ง เนื่องจากเมื่อป้อนรหัสใด ๆ เข้าไปแล้วจะปรากฏรหัสยาที่ต้องการ และสามารถนำไปใช้งานได้ทันที อีกทั้งสามารถติดตามตรวจสอบการเคลื่อนไหวของยาและเวชภัณฑ์ จากฐานข้อมูลเพื่อทำการวิเคราะห์และดำเนินการในด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาสาธารณสุขต่อไป 

5. ด้านประชาชน ได้รับบริการที่มีคุณภาพ รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำและปลอดภัย มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) และสามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพได้ทั่วถึง  

6.ภาคเอกชนที่จัดหน่ายสินค้ายาและเวชภัณฑ์ สามารถการจัดจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์ให้กับโรงพยาบาลทำได้รวดเร็ว ถูกต้องและแม่นยำมากขึ้น

REALATED NEWS

Comments

Share Tweet Line