ซิกน่าเผยผลสำรวจพบความเป็นอยู่ทางการเงินและสังคมลดลงในช่วงวิกฤตโควิด-19

ซิกน่าเผยผลสำรวจพบความเป็นอยู่ทางการเงินและสังคมลดลงในช่วงวิกฤตโควิด-19

อินเตอร์เนชันแนล มาร์เกตส์ในเครือบริษัทซิกน่าเผยแพร่รายงานการศึกษาผลกระทบทั่วโลกจากโรคโควิด-19 ของซิกน่าฉบับแรกในวันนี้ด้วยความร่วมมือกับบริษัทกันตาร์ (Kantar) โดยรายงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานสำรวจภาวะความเป็นอยู่แบบรอบด้าน (360 Well-Being Survey) ประจำปีของซิกน่า และเป็นฉบับแรกจากการศึกษาชุดใหม่ของซิกน่าเพื่อทำความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีต่อภาวะความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก


รายงานสำรวจภาวะความเป็นอยู่แบบรอบด้าน (360 Well-Being Survey) ติดตามการรับรู้เกี่ยวกับสุขภาพและความเป็นอยู่ ซึ่งรวมถึงดัชนีที่ครอบคลุมความเป็นอยู่ทางกายภาพ, ครอบครัว, สังคม, การเงิน และการทำงานนับตั้งแต่ปี 2557 จากการสอบถามผู้ร่วมตอบแบบสำรวจจำนวน 10,204 คนในจีน, ฮ่องกง, สิงคโปร์, สเปน, ไทย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่โรคโควิด-19 กำลังแพร่ระบาด

ดัชนีบ่งชี้ภาวะความเป็นอยู่ยังทรงตัว

รายงานวิจัยใหม่ฉบับนี้บ่งชี้ว่า ภาวะความเป็นอยู่ตามการรับรู้ของเรานั้นปรับตัวรับได้อย่างน่าประหลาดใจ โดยดัชนีความเป็นอยู่ทั่วโลกในภาพรวมระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายน ยังทรงตัวอยู่ที่ 62.5 จุด แม้จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคและมีการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ แต่ดัชนีความเป็นอยู่ด้านการเงินและสังคมกลับลดต่ำลง โดยดัชนีด้านการเงินลดลง 1 จุด (จาก 55.8 สู่ 54.8) และด้านสังคมลดลง 0.8 จุด (จาก 63.2 มาอยู่ที่ 62.4) ส่วนดัชนีด้านการทำงานและครอบครัวยังคงที่ โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในบางส่วนที่สำคัญ

ดัชนีความเป็นอยู่ทางสังคมในสหราชอาณาจักรหดตัวลงมากสุดถึง 4.1 จุด ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของจำนวนผู้ที่รู้สึกว่า พวกเขามีเวลาเพียงพอที่ได้พบปะกับเพื่อน (ลดลงจาก 31% เหลือ 17%), มีเวลาเพียงพอให้กับตัวเอง (จาก 43% เหลือ 34%) และรู้สึกว่า พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนโดยรวมที่นอกเหนือไปจากครอบครัว (จาก 25% เหลือเพียง 15%) ขณะที่ดัชนีความเป็นอยู่ด้านสังคมของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) กลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในหลาย ๆ ด้าน แม้ต้องอยู่ภายใต้การประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ โดยที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ จำนวนผู้ที่รู้สึกว่ามีเวลาเพียงพอให้กับตัวเองเพิ่มขึ้นจาก 40% มาเป็น 50% และผู้ที่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน (เพิ่มขึ้นจาก 34% เป็น 46%)

ดัชนีความเป็นอยู่ด้านการทำงานยังอยู่ในระดับทรงตัว (เพิ่มเพียงเล็กน้อยจาก 68.7 มาเป็น 69) โดยได้ปัจจัยสนับสนุนมาจากคะแนนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของจำนวนผู้ที่รู้สึกว่าได้รับการเรียนรู้และฝึกอบรมเพื่อการพัฒนา (เพิ่ม 4% จาก 54% มาเป็น 58%) ขณะที่ความสมดุลในด้านชีวิตการทำงานที่ดีก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (เพิ่ม 1% จาก 63% มาเป็น 64%) ส่วนดัชนีความเป็นอยู่ด้านครอบครัวยังคงอยู่ในระดับทรงตัวเช่นเดียวกัน โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 66.3 มาเป็น 66.9 ทั้งนี้ สิงคโปร์และยูเออีเป็นประเทศที่มีดัชนีความเป็นอยู่ด้านครอบครัวเพิ่มขึ้นในระดับสูง (เพิ่ม 2.6 และ 2.9 จุดตามลำดับ) นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า ผู้ตอบแบบสำรวจจากทั่วโลกมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องของความสามารถที่จะปกป้องความเป็นอยู่ของคู่สมรส (เพิ่มจาก 44% เป็น 47%) และของบุตร (เพิ่มขึ้น 3% จาก 48% เป็น 51%) รวมถึงมีความรู้สึกว่าได้ใช้เวลามากเพียงพอกับครอบครัว (เพิ่ม 2% จาก 43% เป็น 45%)

เจสัน แซดเลอร์ ประธานซิกน่า อินเตอร์เนชันแนล มาร์เกตส์ กล่าวว่า: "แม้จะมีความกังวลด้านการเงินเพิ่มสูงขึ้น ดังที่เห็นได้จากการพูดคุยกับลูกค้าและคู่ค้าของเรา แต่ก็น่าพอใจที่ได้เห็นว่า คะแนนสภาวะโดยรวมของเรายังคงทรงตัว ซึ่งสะท้อนถึงการปรับตัวรับสถานการณ์ของผู้คนที่เราได้เห็นมาในขณะกำลังพยายามมุ่งความสนใจไปที่มุมมองแง่บวกจากสถานการณ์ปัจจุบัน เราจะเผยแพร่รายงานศึกษาผลกระทบทั่วโลกจากโควิด-19 ฉบับที่สองเร็ว ๆ นี้ และผมก็กำลังเฝ้าดูว่า แนวโน้มดังกล่าวดำเนินต่อไปหรือไม่"

การทำงานที่บ้านเพิ่มความพึงพอใจในงาน , ความสัมพันธ์กับงาน และการสื่อสาร

แม้อาจต้องใช้เวลาไปกับการทำงานยาวนานขึ้น แต่ผู้คนก็ยังมองว่า การทำงานจากที่บ้านทำให้ชีวิตการทำงานของพวกเขาดีขึ้น โดยผู้ตอบแบบสำรวจถึง 76% ระบุว่าวันทำงานของพวกเขามีความยืดหยุ่นมากขึ้น ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทยมากถึง 90%, ในสเปน 80% และในยูเออี 79% ต่างก็ยอมรับในเรื่องดังกล่าว ซึ่งบ่งชี้ว่ากิจวัตรการทำงานอาจจะเปลี่ยนไปถาวร เมื่อมาตรการล็อกดาวน์สิ้นสุดลง

ผู้ตอบแบบสำรวจยังรู้สึกด้วยว่า พวกเขามีความใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานมากขึ้นในขณะที่เกิดวิกฤตการณ์ครั้งนี้ โดย 64% เห็นด้วยว่า การทำงานจากบ้าน และการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อสื่อสารนั้นช่วยปรับปรุงการเชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมงาน เมื่อเทียบกับ 9% ที่ระบุว่า ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีอีกประเด็นที่น่าสนใจ นั่นก็คือ ระดับความพึงพอใจสูงสุดอยู่ในตลาดเอเชีย ซึ่งมักพบว่ามีการทำงานที่ยืดหยุ่นน้อยกว่าเมื่อเทียกับยุโรปและอเมริกาเหนือ ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจ 79% ในยูเออี, 73% ในจีน, 68% ในไทย และ 65% ในสิงคโปร์ระบุว่า พวกเขาสามารถสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานได้ดีขึ้นในช่วงวิกฤตนี้

ดร .พุยฮัน จอยซ์ เชา นักจิตวิทยาคลินิกจาก Dimensions Center ให้ความเห็นว่า:

"ผลการวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนเสริมสำคัญที่มาเพิ่มความเข้าใจของเราเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อผู้คน การจัดการกับวิกฤตเป็นเรื่องส่วนบุคคลมาก ๆ และหลายคนก็ต้องเผชิญกับความวิตกกังวล ความสับสนในระดับสูง หรืออาจมีความรู้สึกหวาดกลัว โดยผลการวิจัยเบื้องต้นเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่า การรับมือในช่วงเวลาวิกฤตเป็นเรื่องซับซ้อน ผู้คนจะเริ่มปรับตัวอย่างช้า ๆ และเมื่อการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์เริ่มผ่อนคลายลง เราก็อาจได้เห็นระดับความวิตกกังวลพุ่งสูงขึ้น เพราะผู้คนจะมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของการกลับไปทำงาน หรือบุตรหลานจะกลับไปเรียนอย่างไร"

ภาวะความเหงาลดลง

รายงานผลการศึกษาเรื่องผลกระทบฉบับแรกนี้พบว่า ผู้คนมีภาวะความเหงาลดต่ำลง โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจเพียง 8% ที่ระบุว่า พวกเขารู้สึกห่างไกลจากคนอื่นในเดือนเม.ย. เทียบกับ 11% ในเดือนม.ค. และเมื่อถามว่า พวกเขารู้สึกใกล้ชิดกับผู้อื่นมากขึ้นหรือไม่ 73% ตอบว่าใช่ในเดือนเม.ย. เทียบกับ 69% ในเดือนม.ค. แม้หลายประเทศจะมีการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์แบบเบ็ดเสร็จ โดยระดับความใกล้ชิดในยูเออีดีขึ้นจาก 71% เป็น 80%, สหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นจาก 70% เป็น 79% และสเปนเพิ่มขึ้นจาก 81% เป็น 91%

ชั่วโมงทำงานเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้คนประสบปัญหาในการเลิกงาน

ผู้ตอบแบบสำรวจจำนวน 79% ระบุว่า พวกเขาต้องเผชิญกับการทำงาน "ตลอดเวลา" และสิ่งนี้เพิ่มขึ้นในเกือบทุกประเทศ โดยเพิ่มขึ้น 7% ในสหราชอาณาจักร (74%) และเพิ่มขึ้น 6% ในสิงคโปร์ (78%) และฮ่องกง (72%) นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจยังรู้สึกด้วยว่าวันทำงานของพวกเขามีเวลายาวนานขึ้น โดยผู้ตอบแบบสำรวจถึง 59% ระบุว่า พวกเขาทำงานนานขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ตอบแบบสำรวจเพียง 18% ที่คิดว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น โดยเพิ่มขึ้นเป็น 75% ในไทย, 65% ในยูเออี และ 64% ในจีน

ดร .ดอว์น ซู ผู้อำนวยการ ฝ่ายธุรกิจด้านสุขภาพของซิกน่า อินเตอร์เนชันแนล มาร์เกตส์ เสริมว่า: "คะแนนด้านภาวะความเหงาที่ลดลงนั้นเป็นเรื่องคาดไม่ถึง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ด้านบวกจากเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ เรายังพบอีกว่า ทัศนคติต่อการทำงานกำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยผู้คนรู้สึกว่า การทำงานจากที่บ้านให้ผลด้านบวกหลายข้อ โดยเฉพาะในแง่ของการทำให้ความรับผิดชอบต่อครอบครัวและต่องานมีความสมดุล แม้จะมีชั่วโมงทำงานที่ยาวนานขึ้นก็ตาม"

ความต้องการ ด้านบริการสุขภาพเสมือนจริงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ความต้องการในเรื่องของบริการด้านสุขภาพเสมือนจริง (virtual health) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยผู้ตอบแบบสำรวจถึง 60% ระบุว่า พวกเขาสนใจใช้บริการดังกล่าว ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 73% ในยูเออี, 72% ในจีน และ 67% ในไทย สำหรับการใช้บริการสุขภาพเสมือนจริงที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็คือ การดำเนินการนัดหมายเพื่อพบแพทย์ โดยผู้ตอบแบบสำรวจ 52% ระบุว่า พวกเขาจะใช้อี-เฮลธ์ในการทำการนัดหมายในอนาคต โดยเพิ่มขึ้นเป็น 65% ในสเปน และอีก 39% ระบุว่า พวกเขาจะเลือกใช้บริการสุขภาพเสมือนจริงเพื่อการดูแลสุขภาพจิตในอนาคต ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 53% ในไทย และ 51% ในจีน

ดร .ซูกล่าวต่อไปว่า: "ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา จำนวนการนัดหมายผ่านบริการสุขภาพเสมือนจริงที่ลูกค้าของเราเข้ามาใช้นั้นเพิ่มขึ้น 6 เท่า จาก 233 รายในเดือนมกราคม มาเป็น 1,438 ในเดือนเมษายน และเราก็เชื่อว่า นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบถาวร เราจึงลงทุนในโซลูชันด้านสุขภาพแบบครบวงจรตัวใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนจัดการสุขภาพทั้งกายและใจ และให้การรักษาในเวลาและสถานที่ที่ต้องการได้"

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำขึ้นโดยใช้แบบสำรวจทางออนไลน์ โดยผู้ตอบแบบสำรวจได้รับคัดเลือกมาจากฐานสมาชิกผู้ตอบแบบสำรวจออนไลน์ และผ่านการควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัด ขณะที่อายุ วัย และโควต้าเมืองที่อาศัยถูกกำหนดโดยใช้สัดส่วนประชากรของตลาดที่เกี่ยวข้อง การสำรวจครั้งนี้จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 10 มกราคมถึง 24 กุมภาพันธ์ และวันที่ 22-27 เมษายน โดยมีการสัมภาษณ์ทางออนไลน์ 8,983 คนในเดือนมกราคม และ 1,221 คนในเดือนเมษายน ใน 8 ประเทศ และแบบสำรวจใช้เวลาทำ 20-25 นาทีโดยไม่มีการเปิดเผยชื่อ

REALATED NEWS

Comments

Share Tweet Line